วันพุธที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

10 อันดับเมืองที่ปลอดภัยที่สุดในโลก 2014

         10 อันดับเมืองที่ปลอดภัยที่สุดในโลก 2014




1. โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

          แม้ว่าจะเป็นเมืองหลวงที่แสนพลุกพล่าน แถมยังมีจำนวนนักท่องเที่ยวมากมายหลั่งไหลเข้ามาไม่น้อย แต่กรุงโตเกียว เมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่นยังคงสามารถรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยภายในบ้านเมืองได้เป็นอย่างดี แถมยังได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีแท็กซี่ที่เป็นมิตรที่สุดในโลกด้วย 

10 เมืองที่ปลอดภัยที่สุดในโลก 2014


 2. ดูบรอฟนิก ประเทศโครเอเชีย 

          เมืองดูบรอฟนิกของโครเอเชีย เป็นเมืองเก่าที่ได้รับเลือกให้เป็นเมืองมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก เมืองแห่งนี้จึงมีนักท่องเที่ยวเดินทางมามากมาย โดยมีการท่องเที่ยวล่องเรือยอชท์ที่ถือเป็นจุดขายสำคัญ และส่วนหนึ่งที่สามารถเรียกคนให้แวะเวียนมาเยือนความงามได้ไม่ขาด ก็เป็นเพราะมาตรการรักษาความปลอดภัยของเมืองที่เยี่ยมยอดด้วยนั่นเอง

10 เมืองที่ปลอดภัยที่สุดในโลก 2014


 3. สิงคโปร์ ประเทศสิงคโปร์

          สิงค์โปร์ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่สะอาดที่สุดในโลก มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก แล้วก็ยังเป็นเมืองที่มีความปลอดภัยสูงมาก ๆ เช่นกัน 

10 เมืองที่ปลอดภัยที่สุดในโลก 2014


 4. เวียนนา ประเทศออสเตรีย

          กรุงเวียนนาของออสเตรียเป็นเมืองหลวงที่งดงาม และยังมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจมากที่สุดเมืองหนึ่งในโลก เป็นเมืองที่น่าอยู่ น่าเที่ยว และเป็นเมืองที่มีการร้องเรียนเรื่องปัญหาเรื่องความปลอดภัยต่ำที่สุดแห่งหนึ่งอีกด้วย

10 เมืองที่ปลอดภัยที่สุดในโลก 2014


 5. ซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

          สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่ได้ชื่อว่ามีความเป็นกลางและปลอดความขัดแย้งในแทบทุก ๆ กรณี เมืองซูริกของที่นี่ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีผู้มาเยี่ยมมากมาย แต่ไม่ว่าอย่างไร ซูริกก็ยังคงรักษาความปลอดภัยให้แก่ชาวเมืองและผู้มาเยี่ยมเยือนได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง 

10 เมืองที่ปลอดภัยที่สุดในโลก 2014


 6. ดูไบ สาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์

          ประเทศผู้ร่ำรวยในโซนตะวันออกกลางอย่างสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์  ก็มีเมืองหลวงอย่างดูไบที่รุ่มรวยความเจริญและมั่งคั่ง แถมยังพ่วงด้วยเรื่องความปลอดภัยที่ไม่เป็นสองรองใครเช่นกัน 

10 เมืองที่ปลอดภัยที่สุดในโลก 2014


 7. สตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน

          ประเทศที่อุดมด้วยงานออกแบบที่น่าสนใจอย่างสวีเดน มีสตอกโฮล์มเป็นเมืองหลวงที่แสนจะน่าอยู่ ทั้งผังเมืองที่จัดวางได้ลงตัว ตึกรามบ้านช่องเป็นระเบียบเรียบร้อย ส่วนเรื่องความปลอดภัยก็มั่นใจหายห่วงว่าอยู่ได้สบายใจไม่ต้องกังวลเลยเชียว 

10 เมืองที่ปลอดภัยที่สุดในโลก 2014


 8. มิวนิก ประเทศเยอรมนี

          เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของเยอรมนี อย่างมิวนิก นอกจากจะเป็นประเทศที่น่าเดินทางมาเยี่ยมเยือนมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งแล้ว ก็ยังเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยในระดับสูงมากอีกแห่งหนึ่งในโลกด้วย 

10 เมืองที่ปลอดภัยที่สุดในโลก 2014


 9. โคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก

          เมืองหลวงของประเทศเดนมาร์กแห่งนี้ ไร้ข่าวการปล้นจี้หรือคดีอุจฉกรรจ์มาแล้วยาวนาน อาศัยได้ เที่ยวได้อย่างสายใจหายห่วงจริง ๆ 

10 เมืองที่ปลอดภัยที่สุดในโลก 2014


 10. โซล ประเทศเกาหลีใต้

          เวียนกลับมาที่ประเทศในทวีปเอเชีย กรุงโซลของเกาหลีใต้ก็เป็นอีกหนึ่งเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัย แม้ว่าจะมีชาวต่างชาติมาอยู่อาศัย รวมทั้งเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดฮิต แต่มาตรการรักษาความปลอดภัยของที่นี่ก็ยังคงทำงานได้ดีไม่ขาดตกบกพร่อง

10 เมืองที่ปลอดภัยที่สุดในโลก 2014



แหล่งที่มา http://travel.kapook.com/view88648.html





วันอังคารที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

โรคสันนิบาต หรือ โรคพาร์กินสัน

โรคสันนิบาต หรือ โรคพาร์กินสัน
น.พ.นิพนธ์ พวงวรินทร์
โรคสันนิบาต ตรงกับโรคในปัจจุบัน คือ โรคพาร์กินสัน อาการเด่นของผู้ป่วย คือ จะมีอาการสั่นขณะนั่งนิ่งๆหรืออยู่นิ่งๆ โดยมากมักจะเป็นที่มือและเท้า บางรายมีคางสั่น ปากสั่น และลิ้นสั่นได้ด้วย นอกจากนี้ยังมีอาการเกร็งของกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย ทำให้เดินลำบากปวดเมื่อยตามตัว แขน ขา และเคลื่อนไหวลำบาก
ลักษณะเด่นอีกอย่างหนึ่งของโรคนี้ คือ มีอาการเคลื่อนไหวช้า ทำอะไรช้า พูดเสียงเบาและรัว ใบหน้าเฉยเมยไม่ยิ้มเหมือนกับคนใส่หน้ากาก ผู้ป่วยโรคนี้เวลาเดินจะตัวงอ แขนไม่แกว่ง และหน้าจะซุนไปก่อน ทำให้หกล้มง่ายและการเดิน จะเดินแบบซอยเท้าถี่ๆ และก้าวสั้นๆ มีปัญหาหกล้มจนเกิดกระดูกหักหรืออุบัติเหตุต่อสมองพบได้บ่อยในโรคนี้ เพราะผู้สูงอายุมีกระดูกบางอยู่แล้ว และโรคนี้มักเกิดบ่อยในผู้สูงอายุ
ปัจจุบันโรคนี้สามารถรักษาได้แล้ว เพราะเราทราบว่าโรคนี้เกิดจากสมองขาดสารเคมีที่มีชื่อว่าโตปามีน ซึ่งเป็นตัวสำคัญในการเคลื่อนไหวของร่างกาย การรักษาในปัจจุบัน คือ การทำให้สมองมีสารเคมีชนิดนี้เพิ่มขึ้น โดยการกินยาซึ่งมีหลายชนิดทำให้สมองมีสารเคมีโตปามีนขึ้นมาชดเชยเพราะเซลล์สมองที่สร้างสารเคมีชนิดนี้เสื่อมสลายและตายไป การรักษาสามารถรักษาได้จากทุกโรงพยาบาลทั่วประเทศไทย เพราะมียาดังกล่าวทั่วประเทศ แต่ค่ายาค่อนข้างแพงครับ



10 อันดับบุคคลลึกลับของโลก

10 อันดับบุคคลลึกลับของโลก

Green Children of Woolpit
          1. พี่น้องตัวเขียวแห่งวูลพิต (Green Children of Woolpit)

          พี่น้องชายหญิงคู่นี้ปรากฏตัวขึ้นอย่างลึกลับเมื่อประมาณศตวรรษที่ 12 กลางหมู่บ้านวูลพิต ของเมืองซัฟฟอร์คในประเทศอังกฤษ จริง ๆ แล้วทั้งสองคนอาจจะเป็นแค่เด็กต่างถิ่นที่พลัดหลงมาเท่านั้น แต่ทว่าเนื้อตัวสีเขียว เครื่องแต่งกายอันแปลกประหลาด และภาษาที่ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน เลยทำให้พี่น้องคู่นี้มีความพิเศษออกไป และได้รับความสนใจจากชาวเมืองเป็นอย่างมาก

          ในช่วงแรกทั้งสองคนไม่ยอมรับประทานอะไรเลย นอกเสียจากถั่วเขียวสดที่ผู้คนนำมาให้ แต่หลังจากนั้นไม่นานก็สามารถปรับตัวใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติและพูดภาษาอังกฤษได้พอประมาณจึงเล่าที่มาของตัวเองให้ฟังว่า พวกเขามาจากเซนต์มาติน เมืองที่เต็มไปด้วยความมืดมิด จนกระทั่งวันหนึ่งทั้งสองคนได้ยินเสียงดังกึกก้องไปทั่ว จึงได้ออกเดินทางเพื่อตามหาเสียงนั้น ซึ่งกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองมาอยู่ในเมืองวูลพิตเสียแล้ว

Gil Pérez
          2. กิล เปเรซ (Gil Pérez)

          เขาผู้นี้คือนายทหารสัญชาติสเปนซึ่งประจำการอยู่ที่พระราชวังเดลโกเบอนาดอร์ ในประเทศฟิลิปปินส์ แต่อยู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นในเมืองเม็กซิโกอย่างน่าฉงนเมื่อวันที่ 26 เดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 1593 โดยที่เจ้าตัวก็ไม่ทราบเช่นกันว่ามาอยู่ที่เมืองแห่งนี้ได้อย่างไร รู้แค่เพียงผู้ว่าของเมืองที่เขาประจำการอยู่นั้นถูกลอบสังหารเท่านั้นเอง ซึ่งอีก 2 เดือนต่อมาก็มีข่าวจากเรือฟิลิปปินส์ยืนยันว่าคำพูดที่ถูกนำมากล่าวอ้างนั้นเป็นเรื่องจริงทั้งหมด แต่ในขณะเดียวกันยังมีพยานที่พบเห็นเปเรซ ในวันที่ 23 ในเดือนและปีค.ศ. เดียวกัน ก่อนที่เขาจะปรากฏตัวในเมืองเม็กซิโกด้วย ซึ่งไม่มีทางที่เขาจะเดินทางไปยังเม็กซิโกได้รวดเร็วในสมัยนั้น

          สุดท้ายแล้วเขาก็ได้ก็เดินทางกลับไปยังประเทศฟิลิปปินส์อีกครั้ง และไม่มีผู้ใดได้พบเห็นเขาอีกเลยนับตั้งวันนั้น จึงทำให้เรื่องของเขากลายเป็นปริศนาที่ได้ไม่มีใครได้ล่วงรู้ว่าเขาเดินทางโดยวิธีใดจนกระทั่งถึงตอนนี้

Man in the Iron Mask
          3. ชายผู้สวมหน้ากากเหล็ก (Man in the Iron Mask)
          ชายผู้สวมหน้ากากเหล็กคนนี้เป็นนักโทษที่มีชีวิตอยู่ในช่วงของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ก่อนที่จะสิ้นใจในเดือนพฤศจิกายน ของปี ค.ศ. 1703 โดยไม่มีผู้ใดได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขามาก่อนเลย เพราะเขาซ่อนตัวตนภายใต้หน้ากากสีดำอันแสนมืดมิดมาโดยตลอด

          อย่างไรก็ดี แท้จริงแล้วเรื่องราวของชายผู้นี้เป็นตัวละครหนึ่งในนิยายที่มีเค้าโครงจากเรื่องจริงส่วนหนึ่ง ซึ่งในเนื้อหามีใจความเกี่ยวกับชีวิตของชายผู้หนึ่งที่ถูกจับกุมโดยข้ารับใช้ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และถูกส่งตัวไปคุมขังเอาไว้ในคุกลับแห่งปิเนรอล เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใดเข้าถึงตัวได้ พร้อมกันนี้นักโทษคนดังกล่าวยังโดนห้ามมิให้พูดคุยกับผู้ใดนอกจากได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการแล้วเท่านั้น หากเขาฝ่าฝืนจะถูกฆ่าในทันที ซึ่งหลังจากที่เขาเสียชีวิตลงทางการก็จัดการทำลายข้าวของของเขาทุกชิ้น พร้อมกับฝังศพ และอย่างเงียบ ๆ และระบุชื่อบนป้ายหลุมศพว่า Eustache Dauger เท่านั้น โดยสุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครทราบที่มาที่ไปอย่างแท้จริงเสียที

Comte St Germain
          4. เคาท์ เซนต์ เกอร์แมน (Comte St Germain)
          ข้าราชสำนักผู้นี้มีความสามารถอันหลากหลายทั้งศาสตร์และศิลป์ในฝรั่งเศส เพราะเขาเป็นทั้งข้าราชการ นักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์ นักไวโอลิน และนักประพันธ์มือสมัครเล่น ในขณะเดียวก็ยังเป็นบุคคลลึกลับของโลกด้วย ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่รู้จักกันเป็นอย่างดีในนาม Der Wundermann หรือวันเดอร์แมน โดยเขาปรากฏตัวและหายไปอย่างลึกลับ มีเพียงบันทึกเกี่ยวกับตัวเขาที่ถูกเขียนขึ้นในปีค.ศ. 1745 ที่สามารถนำมาใช้ยืนยันการมีอยู่ของเขาได้เท่านั้น ซึ่งเนื้อหาภายในนั้นกล่าวว่า เขาเข้ามาอาศัยอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสประมาณ 2 ปี ทั้งในระหว่างนั้นก็ไม่เคยเปิดเผยประวัติของตัวเองให้ใครทราบเลย รู้แค่เพียงว่าเป็นคนเก่งที่หาตัวจับได้ยากคนหนึ่ง และมั่นใจว่าเขาไม่ใช่ผู้ชายธรรมดาสามัญชนทั่วไปอย่างแน่นอน แต่อาจจะเป็นเชื้อพระวงศ์ หรือสายลับที่ถูกส่งตัวมายังฝรั่งเศสก็มิอาจล่วงรู้ที่มาที่ไปของคนผู้นี้ได้ 

D. B. Cooper

          5. ดี บี คูเปอร์ (D. B. Cooper)

          ดี บี คูเปอร์ คือนามแฝงของสลัดอากาศที่ทำการบุกยึดเครื่องบินโบอิ้ง 727 และผู้โดยสารทั้งหมดเอาไว้เป็นตัวประกัน ขณะที่กำลังบินอยู่เหนือน่านน้ำแปซิฟิกทางตะวันออกเฉียงเหนือ ในวันที่ 24 เดือนพฤศจิกายน ปีค.ศ.1971 เพื่อแลกเปลี่ยนกับเงินสด 200,000 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมกับร่มชูชีพ ซึ่งหลังจากที่ได้สิ่งของตามที่ต้องการแล้วก็กระโดดร่มหายตัวไปอย่างปริศนา จนกระทั่งในปีค.ศ. 1980 มีเด็กชายพบเงินสดกว่า 5,800 ดอลลาร์สหรัฐถูกฝังอยู่กลางสันทรายในแม่น้ำโคลัมเบีย หมายเลขของธนบัตรตรงกับหมายเลขของเงินที่โดนขโมยไปพอดิบพอดี แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครสามารถจับตัวดี บี คูเปอร์มาลงโทษได้อยู่ดี

          จากเหตุการณ์นี้เองที่ทำให้สนามบินทั่วโลกมีการจัดระเบียบเกี่ยวกับความปลอดภัยเสียใหม่ และเริ่มมีการนำเครื่องเอ็กซเรย์ตรวจจับและค้นวัตถุต้องสงสัยมาใช้โดยทั่วกัน

Fulcanelli
          6. ฟัลคาเนลลี (Fulcanelli)

          นักเล่นแร่แปรธาตุผู้เต็มไปด้วยปริศนามากมายที่ไม่เคยมีใครสามารถเปิดเผยหรือล่วงรู้ความจริงมาก่อนทั้งเรื่องส่วนตัวและชีวิตการทำงาน มีเพียงเรื่องเล่าขานที่กล่าวกันมา ซึ่งเรื่องที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงมากที่สุดก็คือ การที่เขาสามารถทำให้ตะกั่วจำนวน 100 กรัมกลายเป็นทองคำได้ โดยใช้ผงสูตรพิเศษที่เขาได้รับการถ่ายทอดวิชามาจากอาจารย์

          นอกจากนี้เขายังมีความรู้ในเรื่องของอาวุธนิวเคลียร์ด้วย โดยเขาได้อธิบายหลักการ ขั้นตอน และวิธีการผลิตอย่างละเอียดให้กับนักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งฟังพร้อมทั้งยังทราบว่าอีกไม่นานมนุษย์ในโลกอนาคตจะมีการนำนิวเคลียร์มาใช้เป็นอาวุธต่อสู้ในศึกสงคราม

          ที่มาของเขามีเพียงคำบอกเล่าของลูกศิษย์เท่านั้น ที่กล่าวถึงอาจารย์ผู้เก่งกาจว่า เขาได้เดินทางไปยังปราสาทที่ตั้งอยู่บนเขาสูงในประเทศสเปนเพื่อพบกับคนสำคัญคนหนึ่ง แต่หลังจากนั้นก็ไม่เคยมีใครได้พบเห็นอีกเลย และไม่แน่ใจด้วยว่าเขาลาจากโลกนี้ไปแล้ว หรือใช้ชีวิตอยู่อย่างคนอมตะไปตลอดกาล

Kaspar Hauser
          7. คาสปาร์ เฮาเซอร์ (Kaspar Hauser)

          หนุ่มน้อยที่ปรากฏตัวขึ้นบนถนนแห่งหนึ่งของเมืองนูแรมเบิร์ก ในประเทศเยอรมนี พร้อมกับจดหมายที่จ่าหน้าถึงผู้บังคับบัญชาแห่งกองพันทหารม้าที่ 6 เท่านั้น ซึ่งมีใจความว่า เด็กผู้นี้ถูกนำมาทิ้งเอาไว้ที่บ้านตั้งแต่ยังเป็นทารก แต่ตอนนี้ไม่สามารถเลี้ยงดูได้อีกต่อไป จึงส่งตัวมาเพื่อให้เป็นทหารรับใช้ ท่านจะรับไว้ดูแล หรือแขวนคอเสียก็ได้ แต่ทั้งนี้เนื่องจากไม่มีใครทราบความจริง ดังนั้น ทางการจึงได้จับตัวเด็กคนนี้ไปขังไว้ในคุก ในระหว่างนั้นเขาก็ได้เรียนรู้การพูดและการเขียนจากผู้คุม จนสามารถเล่าเรื่องที่มาของตัวเองได้ โดยกล่าวว่าก่อนหน้านี้เขาเคยถูกคุมขังไว้ในคุกมืดแคบ ๆ เช่นเดียวกัน ไม่เคยได้พบเห็นหน้าหรือมีโอกาสพูดคุยกับผู้ใดมาก่อนเลย มีเพียงของเล่นไม้ กับถูกฝึกให้เขียนคำว่า ทหารม้า และ คาสปาร์ เฮาเซอร์เท่านั้น ส่วนที่มานอกเหนือจากนั้นก็มีข้อสันนิษฐานแตกต่างกันออกไป บ้างก็ว่าเป็นทายาทของราชวงศ์ บางก็กล่าวว่าเป็นเพียงเด็กเลี้ยงแกะชอบพูดโป้ปดเพื่อเอาตัวรอด

          จนกระทั่งเมื่อปี ค.ศ. 2002 นักวิทยาศาสตร์ได้นำดีเอ็นเอที่ได้จากเสื้อผ้าของคาสปาร์ไปพิสูจน์กันอีกครั้ง โดยเทียบกับดีเอ็นเอของแอนตริส เมดินเจอร์ ผู้สืบเชื้อสายจาก สเตฟานี เดอ บัวฮาร์เนส ผู้เป็นมารดาของคาสปาร์ ซึ่งผลที่ออกมาปรากฏว่าคาสปาร์มีแนวโน้มว่าอาจจะเป็นทายาทผู้สืบทอดบัลลังก์ของกษัตริย์แห่งบาเดนจริง

Babushka Lady

          8. บาบุชกา เลดี้ (Babushka Lady)

          หลังจากเหตุการณ์ลอบสังหารประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคเนดี้ ในปีค.ศ. 1963 หญิงนิรนามผู้สวมเสื้อโค้ทสีน้ำตาลพร้อมกับปกปิดใบหน้าด้วยผ้าคลุมก็กลายเป็นที่สนใจทันที เนื่องจากเธอลักษณะท่าทางของเธอเป็นที่น่าสงสัยอย่างยิ่งว่า อาจจะเป็นหนึ่งในผู้สมคบคิดก่อเหตุการณ์อันน่าสะเทือนขวัญครั้งนี้ขึ้น ซึ่งผู้เกี่ยวข้องและ FBI ก็ได้ออกตามหาตัวเธอเพื่อขอหลักฐานมาใช้ประกอบคดี โดยในปีค.ศ. 1970 มีคนอ้างตัวว่าเป็นผู้หญิงคนดังกล่าว แต่สุดท้ายแล้วก็เป็นแค่คำโกหก ดังนั้นจนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครรู้ว่าผู้หญิงคนดังกล่าวเป็นใครจนกระทั่งบัดนี้ 

The Poe Toaster
          9. The Poe Toaster

          ชายคนนี้เขาจะมาเยี่ยมเยียนหลุมศพ เอ็ดการ์ อัลเลน โพ นักเขียนเรื่องสั้นฆาตกรรมชื่อดังชาวสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 19 มกราคาของทุก ๆ ปี ซึ่งไม่มีใครทราบข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับตัวตนของเขาเลย นอกจากบรั่นดีครึ่งขวดกับดอกกุหลาบแดงอีก 3 ดอกที่ถูกวางเอาไว้ด้าหน้าหลุมศพ กับภาพของชายคนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้หมวกกับเสื้อโค้ทสีดำ และปกปิดใบหน้าด้วยผ้าพันคอ

Monsieur Chouchani
          10. มองซิเออร์ ชูชานี (Monsieur Chouchani)

          อาจารย์เชื้อสายยิวผู้ลึกลับ ที่เคยถ่ายทอดวิชาให้กับลูกศิษย์ระดับสูงชาวยุโรปหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งลูกศิษย์ที่เคยมีโอกาสได้รับการสั่งสอนล้วนมีหน้าที่การงานที่ใหญ่โตและมีชื่อเสียง แต่ถ้าหากถามถึงประวัติที่มาของเขากลับไม่มีใครสามารถให้ข้อมูลได้แน่ชัด เพราะทุกอย่างในชีวิตของเขาล้วนเป็นปริศนาทั้งสิ้น ทราบแค่เพียงว่าเป็นคนที่มีความสามารถหลากหลากด้านจนเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะบุคคลหนึ่งเลย นอกจากจะมีความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์แล้ว ยังมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ ปรัชญา โดยเฉพาะคัมภีร์โบราณของยิวด้วย

          
 ที่มา http://hilight.kapook.com/view/87799


10 อันดับองค์กรลับของโลกที่อาจมีอยู่จริง

10 อันดับองค์กรลับของโลกที่อาจมีอยู่จริง


เรื่องแปลกวันนี้ที่ทีนเอ็มไทย จะพาทุกคนไปรู้จัก รับรองว่าหลายคนอาจยังไม่รู้ กับ 10 อันดับองค์กรลับของโลกที่อาจมีอยู่จริง จนน่าทึ่งว่าถ้ามีอยู่จริง พวกเขาจะสามารถปกปิดองค์กรเป็นความลับสุดยอดได้ยาวนานมากๆ ได้อย่างไร และจะมีองค์กรอะไรบ้าง ไปติดตามกันเลยค่ะ
bush-society
อันดับ 10 Skull and Bones

10 อันดับองค์กรลับของโลกที่อาจมีอยู่จริง มีดังนี้

เริ่มจากอันดับ 10 องค์กร Skull and Bones
สมาคมหัวกะโหลกและกระดูกไขว้เป็นสมาคมที่ก่อตั้งในมหาวิทยาลัยเยลในปี 1832 เริ่มต้นขึ้นในหมู่นักศึกษาปีสุดท้าย จากนั้นสมาชิกเก่าจะคัดเลือกทาบทามเชิญนักศึกษาเพียงปีละ 15 คน โดยมีคุณสมบัติของผู้จะได้รับการคัดเลือกคือ ในครอบครัวเคยเป็นสมาชิกองค์กรนี้มาก่อน, เป็นคนหนุ่มไฟแรงมีความกระตือรือร้นสูง, ชอบการเมือง, ฐานะดี, ฉลาด, เก่งกีฬาและชอบทำงานเป็นทีม โดยสมาชิกทุกคนจะต้องมาพบหน้าทุกวันพฤหัสบดีและวันอาทิตย์ของแต่ละสัปดาห์ โดยสมาชิกเหล่านี้ถูกเรียกว่า “สุสาน” สมาคมแห่งนี้ให้ความสำคัญต่อสมาชิกเป็นหลัก และเคารพกฎเหนือสิ่งอื่นใด โดยทิ้งความเชื่อเดิมและรับเอาเป้าหมายและปรัชญาของสมาคม เพียงหนึ่งเดียวคือ เป็นผู้นำโลก ในแต่ละช่วงสมาชิกสมาคมนี้จะมีประมาณ 500-600 คน ปัจจุบันว่ากันว่าสมาชิกของสมาคมนี้ก่อร่างสร้างตัวเป็นตระกูลมั่งคั่ง เป็นเจ้าเศรษฐกิจ มีอิทธิพลไพศาลของโลก เช่นตระกูล Harriman, Rockefeller, Payne, Davison นอกจากนี้ยังแทรกซึมไปทุกวงการของสังคมอเมริกัน เช่น รัฐบาล นักกฏหมาย นักการเมือง สื่อสารมวลชน การศึกษา ธนาคาร นักธุรกิจ การค้า อุตสาหกรรม สำนักพิมพ์ คริสตจักร ในตำแหน่งบริหารอันดับสูง ทำการกำหนดนโยบาย เป้าหมาย กิจกรรมทุกอย่าง แม้กระทั่งชื่อจริงของสมาชิกจะต้องถูกปกปิดเป็นความลับสุดยอด ว่ากันว่าองค์กร CIA ถูกสมาคมนี้ชักใยอยู่เบื้องหลัง และบุคคลสำคัญในปัจจุบันที่เปิดเผยตัวได้ คือ อดีตประธานาธิบดีอเมริกา จอร์จ บุช เขาเป็นสมาชิกของสมาคม หัวกระโหลกไขว้ และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญใน CFR
Freemasonry_Barnstar
อันดับ 9 Freemasonry
อันดับ 9 องค์กร Freemasonry
องค์กรฟรีเมสัน เป็นองค์กรภราดรภาพที่มีที่มาของเบื้องหลังอันลึกลับตั้งแต่ราวปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16 จนถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 เป้าหมายแรกของพวกฟรีเมสันคือการต่อสู้กับศาสนาคริสต์ หลังจากนั้น เป้าหมายของพวกนี้ก็เปลี่ยนมาเป็นการต่อสู้กับทุกสิ่ง นอกจากนั้นแล้ว พวกนี้ยังได้ใช้เครื่องหมายใหม่เป็นรูปสามเหลี่ยมและวงเวียนปลายแหลมสองด้าน เป็นสัญลักษณ์อีกด้วย แหล่งพบปะหรือที่เรียกกันว่า “ลอดจ์” (lodge) แห่งแรกของคนพวกนี้ถูกตั้งขึ้นในอังกฤษโดยใช้คำขวัญใหม่ว่า “เสรีภาพ ภราดรภาพและเสมอภาค” การเข้าเป็นสมาชิกฟรีเมสันส์จะมีกฎระเบียบที่เข้มงวดมาก จะต้องเป็นชายที่มีความเป็นอิสระ ไม่ผูกพัน, เชื่อในความมีตัวตนของพระผู้เป็นเจ้า มีอายุไม่ตํ่ากว่า 18 ปี ต้องมีจิตใจดีงาม มีคุณธรรมและจริยธรรม และข้อสุดท้ายก็คือ จะต้องมีชาติกำเนิดที่เป็นไท ไม่เคยตกเป็นทาส และ ต้องผ่านพิธีกรรมลับ หากใครก็ตามที่แอบเห็นการกระทำพิธีกรรมลับอันนี้ ก็จะต้องถูกให้เข้าเป็นสมาชิกของฟรีเมสันส์ องค์กร ฟรีเมสันในปัจจุบันมีด้วยกันหลายรูปหลายแบบในประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยมีสมาชิกประมาณ 5 ล้านคนที่รวมทั้งเกือบ 2 ล้านคนในสหรัฐอเมริกา และราว 480,000 คนในอังกฤษ, สกอตแลนด์ และ ไอร์แลนด์ เชื่อกันว่าองค์การนี้ได้เติบโตอย่างรวดเร็ว มีสมาชิกกระจายอยู่ในทุกวงการ เช่น ประธานาธิบดี รัฐมนตรี ผู้พิพากษาศาลสูง วุฒิสมาชิก ผู้ว่าการรัฐ ฯลฯ คนระดับโลกที่ประสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่เป็นสมาชิกขององค์กรลับตั้งแต่เด็กๆ องค์กรเหล่านี้รับสมาชิกยากมากจริงๆ แต่เมื่อรับไปแล้ว สมาชิกก็จะเขยิบขึ้นเป็นคนระดับโลก เดินทางมาไหนไปประเทศใด จะมีมือที่มองไม่เห็นคอยจัดการอำนวยความสะดวกให้ทุกอย่าง เมื่อปฏิบัติ การงานสิ่งใด ก็จะมีมือที่มองไม่เห็นคอยจำกัดศัตรูเพื่อให้ท่านใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่น
อันดับ 8 Rosicrucians
อันดับ 8 Rosicrucians
อันดับ 8 องค์กร Rosicrucians
โรสิครูเซี่ยน เป็นศาสนศาสตร์สมาคมลับที่ก่อตั้งขึ้นประมาณศตวรรษที่ 16 โดย คริสเตียน โรเซนครูสทธ์ (Chrisan Rosenkreuz) ชาวเยอรมัน ที่ถือหลักคำสอน “ความจริงลึกลับของอดีตกาล” มีเอกสารสามชุดเผยแพร่คือ Fama Fraternitatis Rosae Crucis(ค.ศ.1614), Confessio Fraternitatis(ค.ศ.1615) and The Chymical Wedding (ปี ค.ศ.1616) เอกสารเหล่านี้เผยแพร่อย่างกว้างขวางและมีอิทธิพลต่อประวัติศาตร์ เนื่องด้วยเนื้อหาบอกเรื่องราวลึกลับการศึกษาวิถีแบบโบราณ การศึกษา ภาษาคับบาลายุคโบราณ จิต วิญญาณและเทคนิคของการเล่นแร่แปรธาตุ เพื่อความมั่งคั่งโดยสามารถแปรธาตุโลหะทั่วไปให้เป็นธาตุทองคำได้ ที่ต่อมาสมาชิกของสมาคมนี้ก็กลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ และมีอิทธิพลในยุโรปในหลายสาขา และการเมืองของยุโรป และมีความเกี่ยวข้องกับฟรีเมสัน เพราะแนวคิดบางส่วนของโรซิครูเซียนถูกนำไปใช้ร่วมกับแนวคิดของฟรีเมสัน นอกจากนี้ยังเชื่อมโยงกับลัทธิโปรเตสแตนต์ และขยายไปทั่วโลกในเวลาต่อมา …สัญลักษณ์ ของสมาคม คือ ไม้กางเขน และดอกกุหลาบซึ่งอยู่ตรงกลางไม้กางเขน ว่ากันว่าชาวเยอรมันเป็นผู้นำอย่างพระเจ้าไกเซอร์ และฮิตเลอร์เคยเป็นสมาชิกในองค์กรนี้ด้วย
7 Ordo Templis Orientis
7 Ordo Templis Orientis
อันดับ 7 องค์กร Ordo Templis Orientis
ออโด เทมพลี โอเรี่ยนติส เป็นองค์กรศาสนาก่อตั้งต้นศตวรรษที่ 20 โดยอเลสเตอร์ โครวลีย์ (Aleister Crowley) ชาวอังกฤษ องค์กรนี้มีเอี่ยวกับฟรีเมนสัน มีเป้าหมายคือต้องการให้องค์กรที่ร่างกฎหมายในองค์กรมาใช้เป็นศูนย์กลางหลัก และเป็นศาสนาใหม่สำหรับยุคใหม่ โดยสมาชิกกลุ่มมี พิธีกรรม การแต่งตัวและพิธีเป็นของตัวเอง และว่ากันว่าพิธีกรรมเหล่านี้ลึกลับ มนต์ดำ กามราคะ ฯลฯ ปัจจุบันมีสมาชิกประมาณ 3,000 คนทั่วโลก และหลายคนบอกว่าเป็นกลุ่มลัทธิซาตานสมัยใหม่
อันดับ 6 Hermetic Order of The Golden Dawn
อันดับ 6 Hermetic Order of The Golden Dawn
อันดับ 6 องค์กร Hermetic Order of The Golden Dawn
เป็นลัทธิมนต์ดำที่รุ่งเรืองมากในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เป็นศูนย์รวมของจิตวิญญาณและเคยเป็นหนึ่งในองค์กรที่มีอิทธิพลใหญ่ที่สุดในโลกตะวันตกมาแล้ว ก่อตั้งในปี ค.ศ.1888 โดยคนสามคน ซึ่งก็คือ William Wynn Westcott , William Robert Woodman และ MacGregor และสามคนนี้เป็นมันสมองของ Free Manson (สรุปคือกลุ่ม ฟรีเมนสันมีเกี่ยวทุกงาน) กลุ่มนี้มีจุดประสงค์คือการสอนปรัชญาลึกลับและพัฒนาบุคลากรให้เข้าใจหลักโหราศาสตร์, การทำนายต่างๆ กลุ่มนี้มีความพยายามรวบรวมพิธีกรรมและหลักปรัชญาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งทำให้เกิดอิทธิพลอย่างมากต่อชาวตะวันตกในช่วงระยะเวลานั้น โดยบุคคลที่มีชื่อเสียงในกลุ่มนี้ก็มี A.E.Waite (ผู้กำเนิดไพ่ทาโรต์ ) นอกจากนี้ยังมีผู้กวี, นักประพันธ์, นักเขียนบทละคร, นักแสดงที่มีชื่อเสียงมากมายที่เป็นสมาชิกกลุ่มนี้ ซึ่งหมายความว่ากลุ่มนี้มีอิทธิพลในวงการศิลปะและวัฒนธรรมนั้นเอง กลุ่ม Golden Dawn นี้ ได้ปิดฉากลงในปี1914 เพราะสมาชิกร่อยหรอและหมดความสนใจลง รวมระยะเวลาของลัทธินี้เป็นเวลา 26 ปี แต่กระนั้นก็มีการฟื้นฟูลัทธินี้อยู่ในช่วงศตวรรษที่ 19 เป็นองค์การทางศาสนาแล้ว แม้จะยังมีการสอนเรื่องไพ่อยู่ แต่ก็อิงไปทางศาสนาอยู่มากจนถึงปัจจุบัน
อันดับ 5 The Knights Templar
อันดับ 5 The Knights Templar
อันดับ 5 องค์กร The Knights Templar
อัศวิน เทมพลาร์ หรือชื่อเต็มคือ (full name: The United Religious, Military and Masonic Orders of the Temple and of St John of Jerusalem, Palestine, Rhodes and Malta) เป็นกลุ่มอัศวินศาสนาคริสเตียนที่มีบทบาทในสงครามครูเสด ก่อตั้งเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 12 ในปี 1119 Hughes de Payens ชนชั้นสูงจากฝรั่งเศส พร้อมกับอัศวินผู้ติดตามอีก 8 คน จุดมุ่งหมายคือปกป้องผู้แสวงบุญในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และ กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่สร้างระบบธนาคาร ภายหลังมีตำนานต่างๆ ที่เกิดจากกลุ่มนี้ รวมไปถึงกลุ่มนี้ค้นพบของวิเศษบางอย่างที่สามารถเปลี่ยนโลกได้ ที่โมเสสใช้ติดต่อกับพระเจ้า บางตำนานก็ว่า ชิ้นส่วนของไม้กางเขนที่ใช้ตรึงพระเยซู บางตำนานก็กล่าวว่าในนั้น เก็บเอกสารสำคัญบางอย่างที่มีมาตั้งแต่สมัยพระเยซู แม้จะสร้างผลงานมากมาย แต่ในระยะแรกกลุ่มอัศวินนี้ใช้ชีวิตอย่างสมถะ ประทังชีวิตด้วยของบริจาค จึงได้รับการขนานนามว่า อัศวินผู้ยากไร้ จนกระทั้ง 9 ปีต่อมา กลุ่มนี้สร้างชื่อเสียงหลายครั้ง จนมีผู้บริจาคเงินทองมากมายอีกทั้งมีกิจการหลายแห่ง มีดินแดนจนแทบจะครองยุโรปได้ คนชนชั้นสูงชาวยุโรปหลายคนยังส่งลูกหลานของตัวเองให้เข้าร่วมกลุ่มด้วย ทำให้กลุ่มนี้เติบโตอย่างรวดเร็วจนมีอำนาจนอกเหนือกฎหมาย แต่แล้วจุดตกต่ำของกลุ่มนี้ก็มาถึง เมื่อกลุ่มอัศวินนี้มีธุรกิจกู้ยืมเงิน มีลูกค้ามากู้ยืมเงินเพื่อไปทำสงครามมากมาย หนึ่งในนั้นเป็นพระราชา และเมื่อทำสงครามพ่ายแพ้พวกเขาไม่มีเงินมาจ่ายหนี้ เลยวางแผนใส่ร้ายกลุ่มอัศวินนี้ว่าเป็นพวกนอกรีต บูชาปีศาจบาโฟเมต และสั่งประหาร และยึดทรัพย์สิน ผู้นำอัศวินถูกเผาทั้งเป็น จนกลุ่มอัศวินนี้ล้มสลายในที่สุด ถึงแม้อัศวินเทมพลาร์จะล่มสลายลง แต่ยังคงทิ้งปริศนาเอาไว้หลายอย่าง เช่น เกิดอะไรขึ้นกับสมาชิกที่ยังหลงเหลือในยุโรป ทรัพย์สินของอัศวินเทมพลาร์หายไปใหน ในปัจจุบันมีตำนานเล่าลือของพวกอัศวินเทมพลาร์อยู่ทั่วไปว่ากันว่าพวกเขาได้แทรกซึมไปทั่ว ราชสหอาณาจักรอังกฤษ และมีสาขาองค์กรแตกแขนง ซึ่งส่วนใหญ่จุดประสงค์คือช่วยเหลือมนุษย์ หนึ่งในนั้นคือ สมาคม Freemasonry ที่รับธรรมเนียมปฏิบัติและพิธีกรรมจากกลุ่มฮัศวิน จนกระทั้งกลายเป็น ปริศนายอดฮิตที่มักมีคนนำไปแต่งนิยาย เกมส์หรือภาพยนตร์เสมอ
อันดับ 4 Illuminati
อันดับ 4 Illuminati
อันดับ 4 องค์กร Illuminati
สมาคมอิลลูมิ นาติ มาจากภาษาลาติน แปลว่า การรู้แจ้ง เป็นอีกหนึ่งสมาคมที่อยู่เบื้องหลังความรุนแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลกตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ถูกเชื่อมโยงกับการปฏิวัติโดยเฉพาะอเมริกา ฝรั่งเศส รัสเซีย และไทย สมาคมนี้ก่อตั้งเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 1776 (ปีเดียวกันกับที่อเมริกาประกาศอิสรภาพ)ในเมืองอินกอลสตาดท์ (บาวาเรียตอนบน) โดยอดัม ไวส์ฮอปต์ (Adam Weishaupt) ซึ่งเป็นชาวเยอรมัน เกิดในปี ค.ศ.1748 ซึ่งเป็นผู้เลื่อมใสในคณะเยซูอิต และเป็นศาสตราจารย์ด้านประมวลกฎหมายโรมันเกี่ยวกับศาสนาที่เป็นฆราวาสคนแรก ที่มหาวิทยาลัยอินกอลสตาดท์ ต่อมาสมาคมนี้ได้มีอิทธพลต่อปัญญาชนและกฎหมาย มีสมาชิกหลายคนเป็นนักการเมืองที่เจริญในหน้าที่การงาน แนวคิดและจุดประสงค์นิกายนี้ค่อนข้างน่ากลัวนิดหนึ่ง คือกลุ่มนี้ยึดถือมั่น “การจัดระเบียบโลกใหม่” การกำกับดูแลปกครองประเทศต่างๆ ทั่วโลก ผ่านรัฐบาลโลกอิสระ โดยยึดถือกฎเดียวกัน คือ ยึดถือศาสนายูดาย โดยมีกลุ่มชนชาติยิวเป็นกำลังหลัก มีบางทฤษฎีก็เชื่อว่า มีความต้องการที่จะให้ประเทศอิสราเอลเป็นเมืองหลวง Illuminati เป็นกลุ่มผู้อยู่เบื้องหลังอำนาจอย่างลับๆ โดยการควบคุมเหตุการณ์ในโลกทุกวันนี้ผ่านทางรัฐบาลและกลุ่มบุคคลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์หลายเหตุการณ์ไม่ว่าจะเป็น การแทรกซึมและโค่นล้มรัฐบาลของหลายๆรัฐในยุโรป การปฎิวัติที่ฝรั่งเศส และรัสเซีย จัดฉากและก่อสงครามโลกครั้งที่ 2 โดย เป็นผู้สนับสนุนเงินทั้งหมดให้ฮิตเลอร์ ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวไป 6 ล้านคน, ก่อตั้ง UN หรือสหประชาชาติ IMF และ World Bank หรือธนาคารโลก และองค์กรระหว่างประเทศต่างๆ ขึ้นเพื่อเดินหมากตัวต่อไป……ยึดครองโลก สำหรับในปัจจุบัน หลายคนเชื่อว่าสมาคมนี้ยังคงเป็นเงาที่ดำเนินการและจัดการนโยบายรัฐบาลของ โลก ครอบคลุมถึงการแทรกซึมควบคุมทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง การใช้อำนาจอย่างลับๆ โดยการควบคุมเหตุการณ์ในโลกทุกวันนี้ผ่านทางรัฐบาลและกลุ่มบุคคลอื่นๆ ในประเทศต่างๆ ทั่วโลกด้วย และคำว่า อิลลูมินาติ มักจะถูกใช้อ้างถึง New World Order (NWO) นักทฤษฎีสมคบคิดจำนวนมากเชื่อว่าอิลลูมินาติอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ที่จะนำไปสู่การสถาปนาลัทธิดังกล่าว และข้อเท็จจริงที่สร้างความสับสนมากขึ้นไปอีกก็คือ ปัจจุบันมีกลุ่มภราดรหลายกลุ่มที่มีคำว่า “อิลลูมินาติ” อยู่ในชื่อกลุ่มด้วย
อันดับ 3 The Bilderberg Group
อันดับ 3 The Bilderberg Group
อันดับ 3 องค์กร The Bilderberg Group
หาก Illuminati อยู่เบื้องหลังควบคุมการทหาร และการสงครามทั้งหมด The Bilderberg Groupd ก็คือสมาคมที่อยู่เบื้องหลังการเงิน เศรษฐกิจและที่ปรึกษาและการวางแผนระดับสูง และควบคุมนโยบายหลักๆ ของรัฐบาลของโลก บิล เดอร์เบิร์กเป็นอีกสมาคมหนึ่งที่อยู่คู่กับฟรีเมสัน ในยุค 1954 ก่อตั้งโดย Dr. Joseph Retinger ชาวยิวเจ้าเก่า โดยการประชุมนัดแรกนัดกันที่โรงแรม Hotel de Bilderberg เมืองอูสเตอร์บีก ฮอลแลนด์ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อกลุ่ม กลุ่มนี้เป็นสมาคมลับของชนชั้นสูง สำหรับเหล่ามหาเศรษฐี ในโลกแห่งการทำธุรกิจและธนาคารข้ามชาติ, วงจรการเมือง และรวมถึงประชาชนทั่วไปที่เป็นมืออาชีพ โดยกลุ่ม Bilderberg จะทำการประชุมกันปีละครั้ง.. อย่างเปิดเผย โดยจะมีสมาชิกเข้าร่วมประชุม 100 ที่นั่ง ทุก 1 ปีที่เจอกัน คนเหล่านี้มาด้วยคำถามซ้ำๆ กันทุกปีว่า “เราจะเปลี่ยนโลกนี้ ให้เป็นอย่างที่พวกเรา (ชาวยิว) อยากให้เป็นไปได้อย่างไร ? ในฐานะที่เรา (ชาวยิว) เป็นรัฐบาลโลกที่แท้จริง” พอประชุมเสร็จก็มีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการว่าประชุมอะไรกันไปบ้าง แต่จะไม่พูดถึงวาระลับซ่อนเร้นที่รู้กันเฉพาะในหมู่สมาชิกเท่านั้น ว่ากันว่ากลุ่มนี้เกี่ยวข้องกับ Illuminati และฟรีเมนสัน ในเหตุการณ์ถล่มอัฟกานิสถานและอิรัก ความพยายามในการสกัดกั้นจีน ความรุนแรงในบางจังหวัดของบางประเทศ ฯลฯ จุดมุ่งหมายคือเพื่อโลกเสรีไม่เอาคอมมิวนิสต์ ปัจจุบัน The Bilderberg Group มีสมาชิกมากมาย ส่วนใหญ่เป็นผู้มีอำนาจจากภาคธุรกิจและการเมือง เช่น สมาชิกกลุ่มนี้ทั้งที่ตายไปแล้วและที่ยังมีชีวิตอยู่ เช่น เฮนรี คิสซิงเจอร์, บิลล์ เกตส์, เดน นิส เฮียเลย์ (อดีตผู้นําพรรคแรงงานและ รมว.ความมั่นคงของอังกฤษ), เดวิด ร็อคกีเฟลเลอร์, เจ้าชายเบิร์นฮาร์ด (พระสวามีของราชินีจูเลียนา แห่งเนเธอร์แลนด์), โรนัลด์ รัมส์เฟลด์ ฯลฯ.. นอกจากนี้ยังมี Lord Rothschild และ Laurance Rockefeller 2 ใน 100 บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก เข้าร่วมด้วยอีกคน
อันดับ 2 The Priory of Sion
อันดับ 2 The Priory of Sion
อันดับ 2 องค์กร The Priory of Sion
ไพร เออรี ออฟไซออน หรือ สำนักศาสนาแห่งไซออน เป็นองค์กรลับสมาคมชายล้วนที่ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1956 โดยปิแอร์ ปลองตาร์ด (Pierre Plantard) ในเมืองอานเนอมาซ ทางตะวันออกของฝรั่งเศส โดยเขาได้ได้แต่งประวัติศาสตร์ขององค์กรขึ้นมา แต่อ้างว่ามันเป็นสมาคมลับที่ก่อตั้งขึ้นในกรุงเยรูซาเล็มเมื่อปี ค.ศ. 1099 มีหน้าที่ปกป้องสายเลือดของราชวงศ์เมโรแว็งเชียง เพื่ออ้างสิทธิในราชบัลลังก์ของฝรั่งเศส จนหลายคนเชื่อและแล้วก็แพร่หลายไปทั่วยุโรป ผู้คนมากมายที่เชื่อว่าไพรออรี ออฟ ไซออนเป็นสมาคมลับในยุคเก่าซึ่งได้ปกปิดความลับที่จะล้มล้างเอาไว้ เช่น ต้นกำเนิดพระเยซู, จอกศักดิ์สิทธิ ส่วนสมาชิกคนสำคัญของสมาคมนี้ถูกกล่าวถึงใน เลส์ โดสซิเยส์เซอเกรส์ (Les Dossiers Secrets) ได้แสดงรายชื่อของเหล่าประมุข ของสมาคมลับ เดอะไพรเออรี่ออฟไซออน ซึ่งมีทั้ง เลโอนาร์โด ดาวินชี, ซานโดร บอตตีเชลลี, โรเบิร์ต บอยล์, เซอร์ไอแซก นิวตัน, วีกเตอร์ อูโก ฯลฯ(ภายหลังมีคนบอกว่ามันเป็นของปลอม) เรื่อง ราวของลัทธินี้ถูกนำไปแต่งนิยายมากมาย ในฐานะทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด ประวัติศาสตร์เทียม และการสับสนอื่นๆ กลายมาเป็น กระแสหลักโด่งดังในหนังสือชื่อ The Holy Blood and the Holy Grail ในปี ค.ศ. 1982 และต่อมาในนวนิยายสืบสวนชื่อรหัสลับดาวินชี
อันดับ 1 Opus Dei
อันดับ 1 Opus Dei
อันดับ 1 องค์กร Opus Dei
โอปุสเดอีเป็นภาษา ละติน แปลว่า งานของพระเจ้า, ผลงานของพระเจ้า หรือ “คณะสงฆ์แห่งกางเขนศักดิ์สิทธิ์” เป็นองค์กรคาทอลิก อนุรักษ์นิยม ตั้งขึ้นในวันที่ 2 ตุลาคม 1928 โดยนักบวชสเปน โฆเซ่ มาเรียเอสคิวบา ที่ถูกประกาศความศักดิ์สิทธิ์เป็นนักบุญโดยสมเด็จพระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2 ผู้ล่วงลับ จุดประสงค์ขององค์กรนี้คือช่วยเหลือ อุดหนุน สนับสนุน ส่งเสริม คณะผู้เผยแผ่คำสอนของพระเยซูเจ้าของคริสตจักรและโบสถ์ โดยส่วนหนึ่งขยายความถึงการร่วมงานกับกลุ่มพระนิกายเยซูอิ เรื่องราวขององค์กรนี้โด่งดังจาก หนังสือ Davinci code ของแดน บราวน์ ที่กล่าวถึงนักบวชบำเพ็ญทุกกริยา ซึ่งความจริงแล้วองค์กรนี้ไม่มีการประกอบพิธีกรรมหรือคลั่งศาสนาแต่อย่างใด เพราะสมาชิกส่วนใหญ่ขององค์กร เป็นสามัญชนที่เชื่อในพระคริสต์และพร้อมที่จะเผยแผ่ความรักของพระองค์ออกไปในวงกว้างเท่านั้น นอกจากนั้นหนังสือของบราวน์ยังผูกเรื่องให้บิช็อปโอปุส เดอีผู้หนึ่ง สั่งการให้นักบวช (monk) โอปุส เดลี ไปกระทำฆาตกรรม แม้ความจริงแล้วองค์การนี้มิได้มีนักบวชประเภทนี้แต่อย่างใด หนังสือ แดน บราวน์ยังกล่าวไปอีกว่า องค์กรนี้อยู่เบื้องหลังและมีอิทธิพลต่อการประชุมลับของบรรดาพระคาร์ดินัล เพื่อคัดเลือกผู้ดำรงตำแหน่งพระสันตะปาปาองค์ต่อไป ซึ่งความจริงแล้วในจำนวนพระคาร์ดินัล 115 คน ที่จะใช้สิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง มีเพียง 2 คน เท่านั้น ซึ่งนับเป็นสมาชิกของโอปุส เดอี แต่ที่แน่ๆ ปัจจุบันโอปุสเดอี มีจำนวนสมาชิกมากกว่า 85,000 คนใน 60 ประเทศ จนได้รับสมญานามว่า “ออคโตปุส (ปลาหมึก) ของพระเจ้า” มีศูนย์กลางการทำงานที่โรม ในปี1982 เป็นนิกายที่ขึ้นตรงกับพระราชาคณะชั้นสูง ภายใต้พระลัญจกรพระสันตะปาปา สามารถเข้าถึงพระสันตะปาปาจอห์นปอลที่ 2 ได้อย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษ อีกทั้งได้รับความสนับสนุนและการส่งเสริมจากพระคาร์ดินัลผู้ทรงอิทธิพล, พระและฆราวาสที่เป็นสมาชิกวงในของโอปุส เดอีจำนวนมาก สมาชิกในองค์กรได้ครองตำแหน่งสูงๆ ในระบบราชการของสำนักวาติกัน ทั้งนี้รวมถึง โจอาควิน นาวาร์โร-วัลส์ หัวหน้าโฆษกสำนักวาติกัน จึงไม่น่าแปลกอะไรที่หลายฝ่ายเชื่อว่าโอปุส เดอี เป็นองค์กรคริสตจักรอนุรักษ์นิยมสุดขั้ว มีอำนาจบารมี ซึ่งซ่อนอยู่ภายใน โดยทำตัวลึกลับและคอยบงการชักใย คริสตจักรคาทอลิกอีกชั้นหนึ่ง


ที่มา http://teen.mthai.com/variety/74159.html

10 อันดับ การประหารที่เหี่ยมโหดที่สุดในโลก

10 อันดับ การประหารที่เหี่ยมโหดที่สุดในโลก 


10. Bestiarii

Bestiarii หมายถึงการส่งนักโทษไปอยู่ในสังเวียนของสิงโตครับโดยที่นักโทษจะไม่มีอาวุธป้องกันตัวใดๆทั้งสิ้น มีแต่ตัวเปลือยเปล่าอย่างนั้นเลยแล้วก็ผู้ชมก็จะดูการละเล่นไป นักโทษก็จะพยายามกระเสือกกระสนสู้รัดฟัดเหวี่ยงกับสิงโตหรือสัตว์อื่นๆตามแต่ที่ผู้ คุมหามาให้แม้ว่าจะสามารถเอาชนะได้หนึ่งตัวอย่างลากเลือด ก็จะมีตัวที่สองและสามโผล่ออกมาไม่หมดไม่สิ้นนอกจากนั้น อาจมีการแสดงโชว์โดยแทนที่จะใช้นักโทษคนเดียวคราวนี้เทกระจาดเอานักโทษมาหมดแล้วก็ปล่อยฝูงสิงโตออกมางาบอาหารบุฟเฟ่ต์ยาม เย็นจนอิ่มแปล้ไป

9. Colombian Necktie

เป็นการลงโทษซึ่งนักโทษไม่ทรมานเลย เพราะมันก็คือการเชือดคอหอยดีๆนี่เองส่วนวิธีการก็คือ เขาจะจับนักโทษแหงานคอขึ้นแล้วเชือดคอหอยซะจากนั้นก็จะใช้มือล้วงเข้าไปแล้วดึงลิ้นออกมาให้แลบออกมาที่รอยแผลนั้นลิ้นก็จะห้อยออกมาสีแดงสดเพราะเลือดย้อมนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเรียกว่า เนคไท ยังไงล่ะครับ

8. Brazen Bull

เป็นการลงโทษสมัยก่อนซึ่งเจ้าคนคิดนี่คงจะแอบจิตอยู่บ้างเพราะจุดประสงค์การออกแบบนั้นเหมือนเป็นการสนองความต้องการของผู้ประดิษฐ์เสียเองมากกว่าวิธีการคือ จับเอานักโทษมาใส่ในวัวเทียมที่ทำมาจากเหล็กจากนั้นก็จุดไฟข้างใต้ความร้อนจะทำให้ข้างในวัวเทียมยิ่งร้อนเข้าไปใหญ่(นึกถึงไก่อบหม้อดินประมาณนั้น)เสียงของนักโทษก็จะร้องโหยหวนซึ่งทางออกเดียวของเสียงนั้นคือปากของวัวเทียมซึ่งทำเป็นทรงกระบอก เมื่อนักโทษร้องออกมาก็จะได้เสียงที่มีเอกลักษณ์และคล้ายกับวัวร้อง นั่นคือสาเหตุว่าทำไมถึงประดิษฐ์เป็นรูปวัวครับในประวัติศาสตร์มีคนเคยกล่าวถึงความโหดร้ายของเครื่องนี้ถึงขนาดที่ตนต้องปิดหูเพื่อจะได้ไม่ยินเสียงความทรมานของนักโทษซึ่งเสียงนั้นเล็ดลอดเพียงปาก ของวัวเทียมเท่านั้น

7. Flaying

ถ้าแปลตามตัวเลยก็คือการถลกหนังทั้งที่ยังเป็นๆอยู่ครับโดยผู้ประหารนั้นจะใช้มีดที่คมกริบค่อยๆเลาะหนังออกมาอย่างบรรจงโดยที่หนังนั้นจะติดเป็นผืนเดียวกันนักโทษนั้นก็จะค่อยๆจายอย่างช้าจากภาวะน้ำในร่างกายไ ม่เพียงพอหรืออาจจะติ เชื้อ(ถ้านักโทษอยู่นานพอน่ะนะ) แล้วหนังนั้นก็จะถูกนำไปแขวนไว้กับผนังประจานไว้เพื่อแสดงถึงใครที่คิดแข็ง ข้อต่ออำนาจทางการเมือง

6. Scaphism

เป็นการลงโทษของชาวเปอร์เชียนสมัยโบราณ และมันก็ค่อนข้างจะซับซ้อนหน่อยโดยนักโทษจะถูกจับอดอาหารจนผอมและ ยัดเข้าไปในโพรงของต้นไม้ใหญ่ในสภาพเปลือยเปล่าและถูกมัดให้แขนขายื่นออกมา ข้างนอกโพรงต้นไม้ แล้วจากนั้นผู้คุมก็จะให้อาหารเพียงนมและน้ำผึ้งซึ่งจะทำให้นักโทษท้องเสีย และทาน้ำผึ้งไว้ตามมือและเท้าที่ยื่นออกมาเหตุครั้งนี้มีไว้เพื่อล่อแมลงเข้ามาตอมและกัดกินหรือวางไข่สร้างรังโดยที่นักโทษไม่สามารถทำอะไรได้ ส่วนการที่ท้องเสียก็คืออุจจาระจะส่งกลิ่นและกระตุ้นให้แมลงยิ่งเข้ามาอีก บางทีแมลงพวกนี้ก็จะมากินอุจจาระและวางไข่หรือชอนไชเข้าไปในก้นด้วยสุดท้ายนักโทษจะเกิดแผลเน่าเฟะและตายอย่างช้าๆจากการติดเชื้อ

5. กรอกปาก

อันนี้เป็นการลงโทษแบบหนึ่งครับเกิดขึ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2โดยเหตุเกิดที่เมืองไทยนั้นแหละ สมัยนั้นทหารญี่ปุ่นเข้ามาในไทยและค่อนข้างกดขี่ข่มเหงมากครับซึ่งก็มีบทลงโทษสำหรับหัวขโมยเหมือนกัน เช่น ถ้าคนไหนขโมยของกินก็จะโดนจับเอาของอันนั้นยัดเข้าปาก หรือบางทีก็จะกรอกน้ำหรือน้ำมันเข้าไปในปากจนเต็มกระเพาะหรือท้องป่องและ หายใจไม่ออก บางคนก็ถึงขั้นเสียชีวิตเนื่องจากเกิดภาวะน้ำมากเกินในร่างกาย แต่ก็มีบางคนที่ไม่ตายก็มีครับ ซึ่งทหารก็จะใช้วิธีเอาออกมาหรือก็คือจะใช้เท้าเหยียบเข้าที่ท้องของหัวขโมยคนนั้ นและก็อ้วกออกมา ซึ่งยังไงก็ตายครับ

4. Breaking wheel

อันนี้มีวิธีการลงโทษอยู่สองแบบครับ แบบIndoorกับOutdoor(หมายถึงทำในที่ีบ้านกับที่โล่งแจ้ง)โดยแบบแรกคือการตรึงนักโทษไว้บนล้อเกวียนจากนั้นก็ทำ การหมุนครับเพียงแต่ว่าตรงพื้นข้างล่างนั้นจะเป็นซ๊่เหล็กแหลมนั บไม่ถ้วนขูดกรีดผิวหนังและใบหน้าของนักโทษเมื่อผู้คุมหมุนซี่เกวียน และผู้ค้มก็จะปรับระดับลดความสูงลงมาอีกทำให้ขูดลึกกว่าเดิม และทำเช่นนี้จนกระทั่งนักโทษตาย อีกแบบนึงคือตรึงไว้กับซี่ล้อเกวียนครับ แล้วก็จับผึ่งตากแดดอดอาหารจนตาย หรือบางครั้งก็มีอีแร้งมาทึ้งกินเหมือนกัน

3. Ling Chi

Ling chi คือการลงโทษของคนจีนครับโดยการจับนักโทษมาแล้วก็เริ่มสับอวัยวะออกทีละชิ้นทีละชิ้น เริ่มจากปลายสุดก่อนแล้วไปส่วนอื่นๆซึ่งทำให้นักโทษตายช้าที่สุดแล้วจากนั้นจึงเริ่มสับที่คอของนักโทษและควักหัวใจออกมา

2. Sawing

แปลตรงตัวครับ คือการเลื่อยอย่างช้าๆจนกว่าตัวจะขาดเป็นสองท่อน (ตามรูปนี้ไม่ใช่นะครับ)โดยจับนักโทษแขวนห้อยหัวไว้ แหกขาออกแล้วเอาเลื่อยมาวางพาดไว้ที่หว่างขาแล้วก็ทำการเลื่อยครับ คิดดูว่ากว่าจะตายนี่ ทรมานขนาดไหน

1. Hanging Drawing and Quartering

มันคือการประหารสามครั้งโดย ที่นักโทษยังมีชีวิตอยู่(ยกเว้นอันที่สามที่เขาคงตายแล้วล่ะ)นั่นประกอบไปด้วยการแขวนคอ โดยที่ผู้ค้มจะต้องตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนเมื่อนักโทษถูกจับแขวนคอนั้นไม่ใช่การกระตุกจนต้นคอหักตายนะครับ แต่เป็นการรัดคอจนกระทั่งใกล้จะหมดลมหายใจตาย ผู้คุมก็จะปล่อยตัว จากนั้นก็ลากนักโทษไปวางบนเขียงต่อหน้าประชาชี แล้วผู้คุมเบอร์2 ก็ทำหน้าที่ชำแหละควักเอาตับไตไส้พุงออกมาให้นักโทษคนนั้นดูต่อหน้าแม้ว่าสติจะเลอะเลือนบ้างก็ตาม ถ้าเป็นผู้ชายก็จะโดนตอนแล้วเอามาให้ดูด้วยซึ่งผู้คุมก็จะเริ่มการจุดไฟเผาเครื่องในเหล่านั้น อ๊ะ! จำหว้ ทั้งหมดนี้ทำในเวลาอันรวดเร็วและทำต่อหน้านักโทษคนนั้นซึ่งยังคงมีชีวิตอยู่ และหายใจอย่างรวยรินเมื่อนักโทษตาย หรือ อาจจะยังไม่ตาย ก็จะตัดหัวและตัวแยกเป็น4ส่วนครับนั่นคือการลงโทษแบบ 3 in 1 เหมือนมอคโคน่าโดยแท้แต๊ๆเลย




ที่มา  Travel MThai

10 อันดับ เด็กโหดที่สุดในโลก

10 อันดับ เด็กโหดที่สุดในโลก


10 อันดับ เด็กโหดที่สุดในโลก
10 อันดับ เด็กโหดที่สุดในโลก
เคยสงสัย? ถึงความรู้สึก นึก คิด ของ ฆาตกร ไมว่า พวกเขาทำไปทำไม ? ทำแล้วได้อะไร? เพราะบางรายฆ่าเฉยๆโดยไม่ได้ชิงทรัพย์ แถมบางรายข่มขืนศพอีก เหตุการณ์แบบน้ีสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา หากจิตใจที่ไม่ปกติ มองการฆากรรมเป็นเรื่องปกติ อย่างที่ ทีนเอมไทย กำลังจะนำเสนอ?10 อันดับ เด็กโหดที่สุดในโลก พวกเขาได้ลงมือ ฆาตกรรมคนรู้จักอย่างโหดเหี้ยม โดยวิธีการสารพัดและคำสารภาพที่ไม่น่าเชื่อ ของเด็กเหล่านี้
ปล. ส่วนมากเหตุการณ์สังหารส่วนมากจะเป็นเด็กอายุไม่ถึง 18 ปี แต่พวกเขากลับมีอาวุธหนัก ที่ไม่รู้เอามาจากไหน เช่น ไรเฟิลปืนกล มีดทหาร ปืนพก ฯลฯ แต่คำถามที่ตามมาคือทำไมเด็กพวกนั้นถึงได้หยิบอาวุธสังหารเพื่อนนักเรียน ด้วยกันอย่างเลือดเย็นเป็นเพราะปัญหาทางในโรงเรียนเหรอ (เพื่อนแกล้ง, ครูให้การบ้านเยอะ) หรือจะเป็นปัญหาทางบ้าน หรือเพราะเกมส์(GTA) เรามาดูตัวอย่างที่ผ่านๆ มาดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง

10 อันดับ เด็กโหดที่สุดในโลก

10 อันดับ เด็กโหดที่สุดในโลก
10 อันดับ เด็กโหดที่สุดในโลก
เด็กโหดที่สุดในโลก :?ไบรอัน และ เดวิด ฟรีแมน ( Brian and David Freeman )
ไบรอัน อายุ 17 ปี และ เดวิด อายุ 16 ปีสองพี่น้องยักษ์ปักหลักสูงกว่า 6 ฟุตหนักกว่า 200 ปอนด์ ภาพที่คุณเห็นข้างบนนั้นไม่ใช้รอยสักธรรมดาแต่เป็นรอยสัก แก๊งนีโอนาซี สองพี่น้องถูกตกเป็นผู้ต้องสงสัยทันทีหลังมีการพบศพแม่ของสองพี่น้องและน้องชายคน รอง ถูกไม้กระบองทุบจนตายในเขตเมืองซอลส์บรี มลรัฐเพนซิลวาเนีย ในปี1995ซึ่งคืนก่อนหน้าที่เกิดเหตุมีเพื่อนบ้านได้ยินเสียงทะเลาะกัน ระหว่างผู้ปกครองและสองพี่น้องดังกล่าว สุดท้ายสองพี่น้องก็ถูกจับคุกตลอดชีวิต
10 อันดับ เด็กโหดที่สุดในโลก
10 อันดับ เด็กโหดที่สุดในโลก
เด็กโหดที่สุดในโลก :?เอ็ดมุนด์ เคม เปอร์ (Edmund Kemper)
27 สิงหาคม ปี 1964 ที่เบอร์แบงค์ แคลิฟอร์เนีย เอ็ดมุนด์ เคมเปอร์ ในขณะนั้นอายุแค่ 15 ปี ได้ยิงตากับยายด้วยปืนล่าสัตว์ (ยิงยายแล้วก็เอามีดหั่นเนื้อแทงยายซ้ำๆจน ปลายบิดงอ) หลังถูกตำรวจจับกุมเขาอ้างเหตุผลในเวลาต่อมาว่า?แค่อยากรู้ว่าจะรู้สึกอย่างไรกับการฆ่ายาย? เด็กชายเคมเปอร์ถูกวินัจฉัยว่าเป็นโรคจิต (แต่ไอคิวถึง 140) เขาถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล
ปี 1969?เขาถูกปล่อยตัวเมื่อเคมเปอร์อายุ 21 ปี แสร้งแกล้งทำเป็นว่าหายขาด และถูกปล่อยสู่สังคมเมื่อออกสู่ภายนอกเคมเปอร์ก็ก่อคดีฆาตกรรมต่อเนื่องซื้อ รถคันหนึ่งรับเหยื่อที่เป็นผู้หญิงนักโบกรถและใช้ปืนยิงแล้วแทงให้ตายตัด ศีรษะ หั่นศพ ใช้กล้องบันทึกภาพ บางรายนำเนื้อไปกินที่บ้านมีเหยื่อที่โดนวิธีนี้กว่า 6 ราย
วันที่ 20 เมษายน1973 เคมเปอร์ก็ฆ่าแม่ของตัวเองโดยการทุบหัวเธอด้วยค้อนขณะที่เธอหลับอยู่ตัดหัว เธอออกแล้วข่มขืนศพที่ไร้หัวนั้นจากนั้นเขาก็เอาหัวแม่มาใช้เป็นเป้าปาลูกดอกและเอากล่องเสียงไปทิ้งขยะ เท่านี้ยังไม่พอเขายังฆ่าเพื่อนแม่อีกคน ก่อนที่จะโทรแจ้งตำรวจมาจับตนเอง(ตอนแรกตำรวจนึกว่าเรื่องตลกเคมเปอร์ต้อง ชี้แจ้งหลายนาทีกว่าตำรวจจะเชื่อ) เคมเปอร์สารภาพต่อตำรวจว่า? แม่เป็นหญิงสารเลว สมควรตาย ? สุดท้ายเคมเปอร์ถูกตัดสินคดีฆาตกรรม 8 คดีและถูกลงโทษจำคุกตลอดชีวิต
10 อันดับ เด็กโหดที่สุดในโลก
10 อันดับ เด็กโหดที่สุดในโลก
เด็กโหดที่สุดในโลก :?วิลลี่ บอสเก็ต (Willie Bosket)
วิลลี่ บอสเก็ต เกิดเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 1962เขาถูกตัดสินในคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่นิวยอร์ค เขาฆ่าเหยื่อเพียงเพราะ ชิงทรัพย์เท่านั้น แต่การตัดสินของเขาใช้กฎหมายผู้เยาว์มันไม่สาสมต่อการกระทำอันอุกอาจของเขา ทำให้สภาได้ร่างกฎหมายเพื่อให้เยาวชนต้องรับโทษแบบ ผู้ใหญ่ในคดีอุกฉกรรจ์ขึ้นมา โดยก่อนหน้านั้น?ในวันที่ 19 มีนาคม 1978 วิลลี่ บอสเก็ตใช้ปืนยิงนายโนเอล เปเรส(Noel Perez) บนรถไฟใต้ดินนิวยอร์คเพียงเพื่อขโมยเงินจำนวนหนึ่งและนาฬิกาข้อมือ แปดวันต่อมาวันเขายิงนายโมเลส เปเลส ( Moises Perez ) นามสกุลเหมือนกันแต่ไม่มีความสัมพันธ์กับเหยื่อรายแรก)และขโมยเงินของเหยื่อ ไป เขาถูกตัดสินโดยกฎหมายเยาวชนก่อนที่ร่างกฎหมาย ใหม่นี้จะเสร็จเขาถูกจำคุก
แต่ออกมาอีก 4 ปีให้หลัง?(ปล่อยในปี 1983)แต่ต่อมาไม่นานเขาก็ถูกจับในคดีลอบวางเพลิงและคดีร้ายแรงอีกมากมายและ ถูกตัดสินโดยกฎหมายใหม่ในที่สุดเขาถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตและถูกขังเดี่ยว ในเรือนจำนิวยอร์คตราบจนทุกวันนี้
10 อันดับ เด็กโหดที่สุดในโลก
10 อันดับ เด็กโหดที่สุดในโลก
เด็กโหดที่สุดในโลก :?โจชัวร์ ฟิลิปส์ ?( Joshua Phillips )
คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อ วันที่ 3 พฤศจิกายน ปี 1998 ในฟลอริด้า สหรัฐอเมริกา เมื่อเด็กน้อยเพื่อนบ้านของโจชัวร์ ฟิลิปส์ ชื่อเด็กหญิง Maddie Clifton อายุ8 ขวบ หายตัวไปจากบ้านของเขาเอง ตำรวจและอาสาสมัครกว่า 400คนทำการค้นหาและเสนอรางวัลเพื่อหาเบาะแสเพิ่มเดิมแต่สุดท้ายก็ไร้ผล (คดี นี้ถึงมือ FBI) หารู้ไม่ว่าเด็กน้อยคนนั้นอยู่ที่บ้านเพื่อนบ้านนี้แหละ หากแต่เป็นศพแล้ว
7 วันต่อมาหลังการหายตัวไปของเด็ก แม่ของโจชัวร์ ฟิลิปส์ทำความสะอาดห้องของเขาพบว่ามีกลิ่นประหลาดและเธอตามหาที่มาของกลิ่น นั้นจนกระทั้งพบร่างของ Maddie ซ่อนอยู่ เธอตกใจและหนีออกนอกบ้านแจ้งตำรวจ โจชัวร์ ฟิลิปส์ ซึ่งตอนนั้นอายุ 15 ปี สารภาพว่าเขาทุบตีเพื่อนบ้าน 8 ขวบด้วยไม้เบสบอลจนเสียชีวิตและเขาหอบศพเธอซ่อนในห้องเขาและใช้มีดแทงเธอ อีก11 ครั้ง คณะลูกขุนได้ตัดสินให้เขาจำคุกโดยปราศจากทัณฑ์บนและตอนนี้เขายังอยู่ในคุก เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
10 อันดับ เด็กโหดที่สุดในโลก
10 อันดับ เด็กโหดที่สุดในโลก
เด็กโหดที่สุดในโลก :?ลอรี่ แทคเก็ต (Laurie Tackett)
เช้าวันเสาร์ของวันที่ 11 มกราคม ปี 1992 พี่น้องคู่หนึ่งได้ออกไปล่านกกระทาในเขตป่า Jefferson และ แล้วเขาก็พบร่างหนึ่งที่ตอนแรกเขานึกว่าจะเป็นตุ๊กตาแต่ปรากฏว่ามันเป็นศพ ของซานต้า ซาลีเออร์ (Shanda Sharerwho)สภาพศพของเธอบ่งบอกถึงการกระทำอันโหดร้ายมีรอยไหม้อย่างรุนแรงและ รอยแผลที่ถูกฟันและแทงด้วยอาวุธมีคม?จากการสอบสวนพบว่าฆาตกรคือนางสาวลอรี่ แทคเกอร์ อายุ 18 ปี ซึ่งเธอฆ่าซานต้าเพราะเป็นรักสามเศร้า(แบบเลสเบียน)
นางสาวลอรี่ แทคเกอร์เกิดเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 1974 ในMadison อินเดียน่า แม่ของเธอเคร่งศาสนาเป็นชาวคริสเตียนส่วนพ่อเป็นคนงานโรงงานต้องโทษคดีอาญาร้ายแรงและเธออ้างเคยทำร้ายเมื่อตอนอายุ 5 และ 12 (ฟังดูอาจธรรมดากว่าอันดับอื่นๆ ความจริงแล้วคดีนี้ดังมาก ในวีพีมีเดียก็มี โดยคดีนี้มีชื่อ The murder of Shanda Renee Sharer เนื้อหายาวๆ มากเพราะว่าเล่าตั้งแต่ความขัดแย้งของรักสามเศร้า?)
10 อันดับ เด็กโหดที่สุดในโลก
10 อันดับ เด็กโหดที่สุดในโลก
เด็กโหดที่สุดในโลก :?เบรนด้า แอน สเปนเซอร์ (Brenda Anne Spencer)
วันจันทร์ 26 มกราคม ปี 1979 เบรด้าอายุ 16 ปี ใช้อาวุธปืนไรเฟิล automatic.22 ที่ได้รับเป็นของขวัญจากพ่อในวันคริสต์มาส กราดยิงเด็ก 8 คนและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในโรงเรียนคลีฟแลนด์ อีลิเมนท์ทาลี่ สคูลในซานดิเอโก้ และพยายามฆ่าครูใหญ่เบอตัน แวคก์ และผู้ปกครองเธอถูกตำรวจจับกุมหลังจากนั้น 5 ชั่วโมงและถูกตั้งคำถามถึงเหตุผลต่อการกระทำการฆาตกรรมหมู่ในโรงเรียนครั้งนี้
เธอยักไหล่และตอบกลับว่า ?ฉันเกลียดวันจันทร์มันไม่มีเหตุผล และฉันก็ทำไปเพราะมันสนุกมากๆ เหมือนกับได้ยิงเป็ดในบ่อน้ำอีกอย่างเด็กๆ พวกนั้นเหมือนฝูงวัวตัวเมียยืนอยู่รอบๆ ซะด้วยสิ?
(?I don?t like Mondays. This livens up the day.? She also said, ?I had no reason for it, and it was just a lot of fun?; ?It was just like shooting ducks in a pond?? and ?[The children] looked like a herd of cows standing around; it was really easy pickings.? )
ผลสุดท้าย เบรนด้า ถูกตั้งข้อหาฆ่าคน และบาดเจ็บสาหัสอีกหลายราย ส่วนประโยค ?ฉันไม่ชอบวันจันทร์นั้น? ได้ถูกนำไปใส่ในหนังเรื่อง The Breakfast Club(1985) และยังเป็นแรงดลใจในเพลง ?ฉันไม่ชอบวันจันทร์(I don?t like Mondays) โดยศิลปิน Boomtown Rats
10 อันดับ เด็กโหดที่สุดในโลก
10 อันดับ เด็กโหดที่สุดในโลก
เด็กโหดที่สุดในโลก :?จอน เวนาเบิล และโรเบิร์ต ทอมป์สัน (Jon Venables and Robert Thompson)
ปี1993 ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ จอน เวนาเบิล และโรเบิร์ต ทอมป์สัน 2 เด็กจากครอบครัวมีปัญหา (ทั้งคู่ตอนนั้นอายุ 10 ขวบ) วันนั้นเป็นวันเปิดเรียน แต่เด็กสองคนนี้ไม่ได้ไปเรียน พวกเขาไปห้างสรรพสินค้า ขโมยลูกกวาด, ตุ๊กตาคอหมุนๆ, แบตเตอรี่จำนวนหนึ่ง,กระป๋องสเปย์สีน้ำเงิน 1 กระป๋องและบังเอิญพวกเขาเห็นสิ่งหนึ่งน่าขโมยเป็นบ้าเลย(ไอเดียนรก) มันคือ เด็กน้อยนามเจมส์ บัลเกอร์ (James Bulger) อายุ เพียง 2 ปีกับ 11 เดือนเท่านั้นเด็กสองคนเลยลักพาตัวเด็กออกจากห้างเสียเลย (เด็กเล็ก(เจมส์)ถูกจูงมือโดย เด็กชายจอนและมีโรเบิร์ตเดินนำหน้าทั้งสองดูเหมือนสนิทสนมกันแต่ไม่มีใครรู้ เลยว่านี้เป็นภาพสุดท้ายที่บันทึกเจมส์ในขณะมีชีวิตอยู่)
ไม่รู้ว่าเมื่อออกจากห้างทั้งสองทำอะไรกับเด็กบ้าง รู้แน่ๆพวกเขาพาเด็กเดินจนขาลากไปกว่าหลายไมล์เรื่อยเปื่อยเป็นเวลานานจนกระทั้งมาถึงรางรถไฟจากนั้นก็ไม่รู้เพราะอะไรอีกทั้งสองตัดสินใจฆ่าเด็กโดยฉีด สีสเปย์ใส่ตาเจมส์ จากนั้นก็รุมทุบตีด้วยมือและเท้าท่อนเหล็กและก้อนหินกระหน่ำไปใส่ที่หัวของ เด็กน้อยกว่า 42แผลด้วยความเมามันจนกะโหลกแตกจากนั้นก็เปลือยท่องร่างเอาแบตเตอรี่ยัดที่ รูทวารจากนั้นก็ลากศพเด็กไปวางบนรางรถไฟเพื่อให้รถไฟทับเพื่ออำพรางคดี และเมื่อมีการพบศพเจมส์ในเวลาต่อมา เด็กทั้งสองก็ถูกจับเกือบทันทีเพราะหลักฐานจากกล้องวีดีโอวงจรปิดหลังจากถูก จับกุมทั้งสองเอาแต่ร้องโวยวาย ใช้ความเป็นเด็กไร้เดียงสาบอกว่าไม่รู้เรื่อง โยนความผิดไปอีกฝ่ายไปๆ มาจนคดีนี้ไม่แน่ชัดว่าใครต้นคิดใครฆ่าเจมส์กันแน่ท้ายสุดศาลอังกฤษตัดสินจำ คุกเด็กสองคนแบบกฎหมายผู้ใหญ่และทั้งสองถูกปล่อยตัวออกไปในปี 2001
10 อันดับ เด็กโหดที่สุดในโลก
10 อันดับ เด็กโหดที่สุดในโลก
เด็กโหดที่สุดในโลก :?เจสซี่ โพเมอร์รอย (Jesse Pomeroy)
เจสซี่ โพเมอร์รอยถูกตำรวจจำกุมได้ในขณะที่เขาอายุ 14 ในปี 1874ในข้อหาสังหารเด็ก 2 คนอย่างน่ากลัว เขาถูกตั้งฉายาว่า? เด็กมารร้ายแห่งเมืองบอสตัน (อเมริกา) ? ก่อนหน้านั้น 3 ปีก่อน(1871-1872) เขาออกอาละวาดทำร้ายและทรมานเด็กชาย 7 คนและถูกจับส่งตัวไปโรงเรียนดัดสันดานที่บอสตัน(มีรายงานว่าเขามีอาการทาง จิต)?ปี 1875?ถูกปล่อยตัวออกมา โดยมีทัณฑ์บนไว้
เขาเฉลิมฉลองการออกจากที่คุมขังด้วยการฆ่าเด็กสาววัย 10 ขวบชื่อ Katie Curran ด้วยการตัดแขนขาเหมือนตุ๊กตาของเล่นไม่มีผิด แต่เขาไม่หยุดแต่เพียงเท่านี้เขาลักพาตัวเด็กชาย Horace Mullen วัย10 ขวบไปที่บึงและสังหารเขาด้วยการใช้มีดแทงอย่างโหดร้ายและเกือบตัดหัวของเด็ก ชายจนหลุดจากบ่า
เจสซี่ให้เหตุผลว่าเขาฆ่าเด็กชายคนนั้นเพราะมีดวงตาที่ แปลก(เด็กชายมีตาสีขาว) เขายอมรับผิดในเวลาต่อมา และถูกจับคุก 40 ปีอย่างโดดเดี่ยว(เจสซี่รับได้บันทึกสถิติว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องอายุน้อยที่ สุดที่ตัดสินในอเมริกา) สุดท้ายเจสซี่ตายเพราะสิ้นอายุไขเมื่อวันที่ 29กันยายน 1932 ขณะอายุ 72 ปี
10 อันดับ เด็กโหดที่สุดในโลก
10 อันดับ เด็กโหดที่สุดในโลก
เด็กโหดที่สุดในโลก :??แมรี่ เบล(Mary Bell)
วันที่ 25 พฤษภาคม ปี 1968 ที่ย่านนิวคาสเซิล ทางตอนเหนือของอังกฤษ เป็นวันคล้ายวันเกิดครบ 11 ปี ของ แมรี่ เบล เด็กจากครอบครัวมีปัญหา(อีกแหละ) เธอเลยฉลองวันเกิดนี้โดยการบีบคอเด็กมาร์ติน บราวน์ เด็กชายอายุ 3-4 ขวบจนถึงแก่ความตายแล้วยังไปยั่วแม่ของเด็กทำนองว่า?ลูกคุณตายแล้วเหงาหรือเปล่า ลูกคุณตายแล้วร้องไห้หรือเปล่า?
แต่นี้ยังไม่พอสำหรับเธอ เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม เธอกับเพื่อนของเธอชื่อ นอม่า เบล (นามสกุลเหมือนกันแต่ไม่ใช่ญาติ) ได้ฆ่าเด็กชายไบรอัน โฮล วัย 4 ขวบ และสลักที่ท้องของเด็กชายด้วยอักษรย่อ M และ N ด้วยใบมีดโกน พวกเธอทั้งสองถูกศาลพิจารณาคดีในข้อหาสังหารโหดมนุษย์ 2 ศพ
ผลคือคือแมรี่ เบลถูกจำคุกและไปบำบัดจิตส่วนเพื่อนอีกคนพ้นข้อกล่าวหา (ได้ไง??) ปี 1980 เธอถูกปล่อยตัวจากคุกเมื่ออายุได้ 22 ปีทั้งๆ ที่รักษาโรคจิตไม่หาย เธอมีลูกและหายสาปสูญไปจากสังคม และวันที่ 21 พฤษภาคม ปี 2003 ทางการก็ประกาศว่าเธอเป็นบุคคลนิรนาม
10 อันดับ เด็กโหดที่สุดในโลก
10 อันดับ เด็กโหดที่สุดในโลก
เด็กโหดที่สุดในโลก :??สังหารหมู่ในโรงเรียน (School Shootings)
15 พฤศจิกายน 1995 เจมี่ เราซ์ (Jamie Rouse) วัย17ปี แต่งชุดดำไปโรงเรียนริชแลนด์ ที่ไจลส์ เคาน์ตี้ รัฐเทนเนสซี่พร้อม ปืนเรมิงตัน ขนาด.22 เขายิงครูไป2คน และ หันปืนเล็งยิงโค้ชทีมฟุตบอล พร้อมยิ้มระบายบนใบหน้าแต่พอดีเด็กคนหนึ่งเดินสวนพอดี จึงโดนแทน

เฮ้อ! นี้ก็เป็นอีกมุมนึงในสังคมที่ยังมีความน่ากลัว ความไม่ปลอดภัยแฝงอยู่ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แล้ว อะไรเป็นแรงดลใจให้กระทำแบบนั้น !! เรื่องนี้คงต้องให้นักจิตวิยาเป็นผู้วิเคราะห์ หาคำตอบกันต่อไป…. ไม่รู้ว่าเด็กไทยถ้าถูกกดดันมากๆ จะมีอาการแบบนี้หรึเปล่า ????




                                       

  ที่มา  Travel MThai